เงิน = ทอง

Photo by kumar gaurav on Pexels.com

บุญคุณคือหนี้สินระหว่างกันรูปแบบหนึ่ง ซึ่งภายใต้บางสถานการณ์สามารถนำมาใช้แทนเงินได้ อันที่จริงแล้ว เงินที่เราใช้กันแพร่หลายในชีวิตประจำวัน แท้จริงแล้วก็เป็นสินเชื่อประเภทหนึ่งเหมือนกัน

John Pierpont Morgan ชาวอเมริกันผู้ก่อตั้งธนาคาร JP Morgan ได้เคยกล่าวไว้ว่า “Gold is money. Everything else is credit.”  การที่ J. P. Morgan ได้จำแนกทองคำออกมา แสดงให้เห็นถึงข้อเท็จจริงว่าสิ่งที่สังคมยอมรับว่าเป็นเงินมีหลายรูปแบบ และแต่ละรูปแบบอาจไม่ได้ทดแทนกันได้เสมอไป

ในยุคที่เทคโนโลยีในการเก็บข้อมูลและผูกมัดสัญญามีข้อจำกัด กำลังซื้อที่เก็บในรูปแบบข้อมูลนามธรรม (pure information) เช่นความทรงจำจึงไม่สามารถแพร่หลายได้อย่างกว้างขวาง กำลังซื้อจึงจำเป็นต้องผนวกอยู่กับสื่อกลางทางกายภาพ เช่น ทองคำ ทำให้ข้อมูลนั้นเป็นรูปธรรม เมื่อเป็นของมีค่าที่สามารถจับต้องได้ ไม่ถูกปลอมแปลงบิดเบือนได้ง่าย สามารถยืนยันการมีอยู่ได้ การยอมรับในคุณค่าจึงเป็นไปได้ง่ายขึ้น คล้ายกับการที่งานศิลปะที่จับต้องได้มักมีคุณค่าเป็นที่ยอมรับมากกว่างานศิลปะดิจิทัล

ในยุคที่เทคโนโลยีในการเก็บข้อมูลและผูกมัดสัญญามีข้อจำกัด กำลังซื้อที่เก็บในรูปแบบข้อมูลนามธรรม (pure information) เช่นความทรงจำจึงไม่สามารถแพร่หลายได้อย่างกว้างขวาง จึงจำเป็นต้องนำกำลังซื้อมาผนวกกับสื่อกลางทางกายภาพ เช่น ทองคำ ทำให้ข้อมูลนั้นเป็นรูปธรรมมากขึ้น

เมื่อเป็นของมีค่าที่สามารถจับต้องได้ ไม่ถูกปลอมแปลงบิดเบือนได้ง่าย สามารถยืนยันการมีอยู่ได้ การยอมรับในคุณค่าจึงเป็นไปได้ง่ายขึ้น ซึ่งก็ดูแล้วคล้ายกับการที่แม้แต่ในปัจจุบัน งานศิลปะที่จับต้องได้ก็ยังมักมีคุณค่าเป็นที่ยอมรับมากกว่างานศิลปะดิจิทัล

เงินบุญคุณเป็นหนี้สินระหว่างกัน ทำให้พอจะยอมรับได้ว่าทำไมคนที่มีเงินควรจะได้รับสิทธิประโยชน์ในสังคม เพราะถือว่าได้ทำคุณประโยชน์ที่ถือว่าเป็นบุญคุณในสังคมแล้ว นักเศรษฐศาสตร์จึงเรียกเงินที่มีลักษณะนี้ว่าเงินใน (inside money) เพราะเป็นพันธะที่ยอมรับระหว่างคนในสังคมและระบบเศรษฐกิจ บุญคุณของคนหนึ่งจึงเป็นหนี้บุญคุณของอีกคนหนึ่ง แต่ทองคำล่ะ เป็นหนี้สินของใคร ทำไมสังคมต้องยอมรับ

ทองคำเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แน่นอนว่าต้องมีคนที่เหนื่อยไปร่อนหรือขุดขึ้นมา แต่ทองคำไม่ได้เป็นหนี้สินระหว่างใครกับใคร และไม่ได้เป็นบุญคุณของใครในสังคม แต่ก็เป็นน่าแปลกใจว่าทำไมเราถึงยอมรับว่าคนที่มีทองคำคือคนที่ร่ำรวย เพราะทองคำไม่สามารถบริโภคได้เหมือนก้อนชา เกลือ แพะ หรือวัว ไม่ได้ถูกนำมาใช้เป็นปัจจัยทางการผลิตในประบวนการอุตสาหกรรมเหมือนในปัจจุบัน และบางอารยธรรมให้ค่าสิ่งอื่นมากกว่าทองคำด้วยซ้ำ อย่างเช่น หยก เป็นต้น

และยังมีสังคมที่ยอมรับเปลือกหอย (cowrie shell) หรือก้อนหินมหึมา (rai/fei stones) ซึ่งไม่น่าจะนำไปใช้งานได้เลยเป็นสิ่งมีค่าและนำมาใช้แทนเงินได้เหมือนกัน ทำให้เกิดคำถามว่าคุณค่าในฐานะเงินมาจากไหนหากไม่ได้เป็นหนี้สินระหว่างกัน

เมื่อมีเงินใน ก็ต้องมีเงินนอก (outside money) นักเศรษฐศาสตร์ใช้คำนี้กับสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ถูกนำมาใช้แทนเงิน เช่น ทองคำ เปลือกหอย อย่างที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งสิ่งเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องมีค่าในตัว ไม่ต้องเป็นหนี้สินระหว่างผู้ใด แต่การที่สังคมอุปโลกให้มีค่าดั่งคำกล่าวของ ม.จ.สิทธิพร กฤดากร ว่า “เงินทองเป็นของมายา” ก็สามารถก่อให้เกิดประโยชน์กับระบบเศรษฐกิจได้ไม่น้อยในยุคที่เทคโนโลยียังไม่พร้อม เพราะผู้คนต่างใช้สัญลักษณ์นี้ในการทำการค้าขายกันได้อย่างสะดวกและกว้างขวาง ไม่จำเป็นต้องเชื่อในสัญญาระหว่างกัน เพราะเงินนอกถือเป็นสัญญาใจระหว่างคนในสังคมทั้งหมด

Leave a comment

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s